เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ Cold War

 สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ทุกวันนี้ข่าวรายวันคงจะไม่พ้นเรื่องสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย สงครามที่เริ่มจากสองประเทศแต่มีผลกระทบกับคนทั่วโลก ทั้งข้าวของที่ราคาแพงขึ้นเนื่องจากการขาดแคลนน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ ขาดแคนแหล่งผลิตอาหารระดับโลกเช่นน้ำมันดอกทานตะวันและแป้งสาลี ผู้คนอพยพหลบหนีสงคราม ยิ่งถ้าสงครามยืดเยื้อผลกระทบก็จะยิ่งบานปลาย เมื่อใดที่สงครามนี้จบลง เราก็คงจะจารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์อีกครั้ง ถ้าติดตามข่าวที่ผ่านมา บางครั้งนักข่าวจะอ้างอิงถึง Cold War เพื่อนๆสงสัยไหมว่า Cold War คืออะไร และเกี่ยวอะไรกับสงครามนี้ เรามาเรียนจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมากันเถอะ

Cold War เป็นช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตและพันธมิตร ซึ่งเริ่มขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1945 ที่ใช้คำว่า Cold War เพราะไม่มีการสู้รบเป็นสงครามระหว่างสองประเทศ แต่ให้การสนับสนุนด้านต่างๆกับประเทศฝ่ายตน

 

กลุ่มตะวันตกนำโดยสหรัฐอเมริกาและประเทศที่โดยทั่วไปแล้วจะเป็นเสรีประชาธิปไตย ได้สร้างพันธมิตรทางทหารของ NATO ในปี 1949 เพื่อจับกุมการโจมตีของสหภาพโซเวียตและตั้งนโยบายระดับโลกเพื่อต่อต้านการควบคุมอิทธิพลของสหภาพโซเวียต  สหภาพโซเวียตได้ก่อตั้งสนธิสัญญาวอร์ซอในปี 1955 เพื่อตอบสนองต่อ NATO  วิกฤตการณ์ที่สำคัญของช่วงนี้ ได้แก่ การปิดล้อมเบอร์ลินปี 1948–1949, สงครามกลางเมืองจีนปี 1927–1949, สงครามเกาหลีปี 1950–1953, การปฏิวัติฮังการีปี 1956, วิกฤตการณ์สุเอซปี 1956, วิกฤตการณ์เบอร์ลินในปี 1961 และวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาปี 1962  สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตเข้าแข่งขันเพื่อแย่งชิงอิทธิพลในละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และรัฐที่เป็นอาณานิคมของแอฟริกา เอเชีย และ Oceania

 

 หลังวิกฤตการณ์ขีปนาวุธของคิวบา ความตึงเครียดใหม่เริ่มต้นขึ้นโดยที่ฝ่ายจีน-โซเวียตแตกแยกในขณะที่ฝรั่งเศสซึ่งเป็นรัฐกลุ่มตะวันตกเริ่มเรียกร้องให้มีการดำเนินการที่เป็นอิสระมากขึ้น  สหภาพโซเวียตรุกรานเชโกสโลวะเกียปี 1968 ในขณะที่สหรัฐฯ ประสบกับความวุ่นวายภายในจากขบวนการสิทธิพลเมืองและการต่อต้านสงครามเวียดนาม  ในช่วงทศวรรษที่ 1960-1970 ขบวนการสันติภาพระหว่างประเทศได้หยั่งรากลึกในหมู่ประชาชนทั่วโลก  การเคลื่อนไหวต่อต้านการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์และการลดอาวุธนิวเคลียร์เกิดขึ้น โดยมีการประท้วงต่อต้านสงครามครั้งใหญ่  ในช่วงทศวรรษ 1970 ทั้งสองฝ่ายเริ่มผ่อนปรนเพื่อสันติภาพและความมั่นคง โดยเข้าสู่ช่วงระยะเวลาหนึ่งที่เห็นว่าการเจรจาจำกัดอาวุธเชิงกลยุทธ์และสหรัฐฯ เปิดสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีนในฐานะถ่วงน้ำหนักทางยุทธศาสตร์ของสหภาพโซเวียต  ระบอบมาร์กซิสต์ที่ประกาศตนเองจำนวนหนึ่งเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 1970 ในโลกที่สาม รวมถึงแองโกลา โมซัมบิก เอธิโอเปีย กัมพูชา อัฟกานิสถาน และนิการากัว

 

 สงครามโซเวียต-อัฟกานิสถานในต้นทศวรรษ 1980 เป็นอีกช่วงหนึ่งของความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น  สหรัฐฯ ได้เพิ่มแรงกดดันทางการทูต การทหาร และเศรษฐกิจต่อสหภาพโซเวียต ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจซบเซาอยู่แล้ว  ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 มิคาอิล กอร์บาชอฟ ผู้นำโซเวียตคนใหม่ได้แนะนำการปฏิรูปเสรีของกลาสนอสต์ (“การเปิดกว้าง”, ค.ศ. 1985) และเปเรสทรอยก้า (“การปรับโครงสร้างองค์กร”, 1987) และยุติการมีส่วนร่วมของสหภาพโซเวียตในอัฟกานิสถานในปี 1989 แรงกดดันต่ออธิปไตยของชาติเพิ่มขึ้น  แข็งแกร่งขึ้นในยุโรปตะวันออก และกอร์บาชอฟปฏิเสธที่จะสนับสนุนทางการทหารของรัฐบาลอีกต่อไป

 

ในปี 1989 การล่มสลายของรัฐบาลคอมมิวนิสต์เกือบทั้งหมดของกลุ่มประเทศตะวันออก โดยมีเหตุการณ์ทุกทำลายกำแพงเบอร์ลินเมื่อปี 1989 เป็นสัญลักษณ์ของการเข้าสู่ยุคใหม่ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตสูญเสียการควบคุมและนำไปสู่การยุบสหภาพโซเวียตอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม 1991 ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ทั่วทั้งแอฟริกาและเอเชีย

 

เพื่อนๆอาจจะเริ่มเห็นภาพว่าทำไมสื่อถึงกล่าวถึง Cold War 

ดูเหมือนว่าโลกได้หวนคืนสู่ยุคสงครามเย็นที่ประเทศต่างๆแบ่งออกเป็นสองขั้วการเมือง แต่สงครามครั้งนี้ดูจะซับซ้อนยิ่งกว่าเก่ามาก เราคงต้องรอดู กันต่อไปว่าผลจะออกมาเช่นไร แต่ที่แน่ๆ สงครามนี้มีผลกระทบกับพวกเราทุกคน 

 

ที่มา : Wikipedia Cold War

จิรประภา ศรีจารุพฤกษ์
เรียบเรียง