เชื่อว่าหลายคนเมื่อเห็นฟักทองในซุปเปอร์ที่นี่แรก ก็คงงง ว่า ฟักทองอะไรหน้าตาไม่เห็นเหมือนที่เมืองไทยเลย บ้านเราที่คุ้นๆก็จะมีฟักทองแค่สองแบบคือลูกใหญ่ๆผิวออกเขียวเปลืองหนาๆแต่พอผ่ามาด้านในจะส้มจัด กับฟักทองใต้หวันที่เปลือกบางกว่า เขียวเป็นริ้ว เนื้อออกส้มเหมือนกัน
แล้วทีนี้ถ้าอยากกินผัดฟักทองใส่ไข่ แกงบวด หรือ ขนมฟักทองจะเลือกเอาแบบไหนมาทำดีหละ
งั้นวันนี้เรามารู้จักฟักทองที่ขายในซุปเปอร์หรือตลาดนัดกัน
ฟักทองแบ่งออกเป็น 2 ตระกูล ตระกูลแรกก็คือ ตระกูลฟักทองอเมริกัน (Pumpkin) ผลใหญ่ เนื้อยุ่ย และตระกูลสองคือ สควอช (Squash) ซึ่งได้แก่ฟักทองไทยและฟักทองญี่ปุ่น โดยฟักทองไทยนั้น ผิวของผลขณะยังอ่อนจะเป็นสีเขียว เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสลับเขียว ผิวมีลักษณะขรุขระเล็กน้อย เปลือกจะแข็ง เนื้อด้านในเป็นสีเหลือง พร้อมด้วยเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่
ฟักทองอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุมากมายที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุโซเดียม ธาตุแมงกานีส ธาตุเหล็ก ซิงค์ เป็นต้น
ฟักทองยังเป็นอาหารเพื่อสุขภาพของผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักอีกด้วย เพราะฟักทองมีกากใยที่สูงมาก มีแคลอรีและไขมันน้อย จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดความอ้วนและควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี เพียงแค่รับประทานฟักทองหนึ่งถ้วยหรือ 3 กรัม จะทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่มได้นานขึ้น
ฟักทองในตลาดฮอลแลนด์ที่พบเห็นได้แก่
Vleespompoen (butternut)
เป็นฟักทองเนื้อเยอะ นิ่ม และออกรสหวาน สุกเร็ว เหมาะแกการเอาไปทำฝักทองผัดไข่ หรือซุปแบบฝรั่งที่ปั่นให้เนื้อเนียน
ฮอกไกโด
ฟักทองเลือดปลาดิบ ลูกกลม สีส้มจัด เนื้อเหนียว สุกไว และรสหวานมัน
เหมาะแก่การเอามาแทนอาหาร และขนมไทยทุกชนิด
พันธ์ Kabocha
เป็นฟักทองเลือดบูชิโดอีกชนิดที่มักถูกเข้าใจว่าเป็นฟักทองใต้หวัน เนื้อออกเหลืองและหวานกว่า vleespompoen เรามักพบเห็นฟักทองชนิดนี้ในตลาดจีน หรือโดโกทั่วไป
เหมาะแก่การเอามาผัด แกงเลียงหรือทำขนม แต่ฟักทองชนิดนี้สุกด้วยความร้อนไวมาก
Kroonprins pompoen
ฟักทองมกุฎราชกุมาร มีเนื้อเยอะ นุ่มนวล และหวาน ใช้ทำซุปแบบฝรั่ง หรืออบ
ฟักทองชนิดอื่นๆเราจะพบเห็นไม่บ่อยในตลาดฮอลแลนด์ บางชนิดอาจหาได้ในโตโก ของขายโมร๊อคคัน หรือเตริก แต่ทั้งสี่พันธ์ข้างต้นเป็นชนิดที่แนะนำในการนำมาทำอาหารไทย
ประโยชน์ของฟักทองมีมากมายนับไม่ถ้วน
และที่สำคัญฟักทองช่วยเพิ่มพลังงานและความอบอุ่น เหมาะแก่เอามาปรุงอาหารสำหรับเมืองหนาวในช่วงฤดูที่อากาสหนาวเย็น ทั้งยังเป็นพืชที่มีมากในช่วงเวลานี้(Herfst) การทำอาหารที่เหมาะสมกับฤดูกาลของผลผลิต ก็เป็นหลักเศรษฐศาสตร์ที่ถูกต้อง
ประโยชน์ของฟักทองได้แก่
- บำรุงและรักษาสายตา
- ฟักทองมีส่วนช่วยบำรุงสุขภาพร่างกาย
- ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
- น้ำมันจากเมล็ดฟักทองมีส่วนช่วยบำรุงประสาท
- เมล็ดฟักทองช่วยทำให้อารมณ์ดี เพราะมีสารที่ช่วยในการสร้าง Serotonin ซึ่งมีผลต่ออารมณ์
- มีฤทธิ์ในการช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
- เป็นอาหารที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรืออยากลดความอ้วน เพราะมีไขมันน้อย กากใยสูง
- ฟักทองมีกรดโปรไบโอนิค ซึ่งมีส่วนทำให้เซลล์มะเร็งอ่อนแอลง
- มีส่วนช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็ง
- มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหัวใจ
- ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยบริเวณข้อเข่า บั้นเอว
- มีส่วนช่วยป้องกันโรคผิวหนัง
- เปลือกฟักทองมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน
- ช่วยฟื้นฟูร่างกายหลังออกกำลังกายหรือหลังจากร่างกายทำงานอย่างหนัก และทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
- รากฟักทองนำมาต้มกับน้ำดื่มช่วยแก้และบรรเทาอาการไอ
- ฟังทอกจัดว่ามีกากใยอาหารสูง ซึ่งมีส่วนช่วยในการขับถ่าย
- ฟักทองมีฤทธิ์อุ่นซึ่งจะช่วยย่อยอาหารได้เป็นอย่างดี
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ
- มีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะ
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคนิ่ว
- ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากขยายใหญ่มากขึ้น
- ช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ
- ช่วยบำรุงตับและไตให้แข็งแรง