รักในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่รัก
การย้ายบ้าน ย้ายเมืองจากถิ่นที่เกิดและโตมาเกือบครึ่งชีวิต เพื่อมาตั้งรกรากในเมืองใหม่ แค่ปรับตัวให้เข้ากับสังคม วัฒนธรรมใหม่ ภาษาพูดใหม่ก็ยากพอ แล้วเราจะดูแลชีวิตประจำวันและหน้าที่การงาน ให้ควบคู่ไปได้อย่างไร
จากนี้ทุกฉบับเราจะคัดสรรคนไทยที่ไม่ละทิ้งความพยายาม เอาความสามารถมาพลิกชีวิตงานในต่างแดนให้เป็นอาชีพที่เลือกเอง
จากผืนดินสู่สวนดอกไม้ Grow Crazy Pluktuin ของคุณฝน นิตยาชิต
เพราะสถาณการโควิดทำให้เราต้องทำการสัมภาษณ์แบบออนไลน์ เราแลกเปลี่ยนคำถาม คำตอบกับคุณฝนทางแชทบ๊อกในวันฝนพรำ คุณฝนได้เขียนเล่าเรื่องก่อนจะมาเป็นสวนดอกไม้ grow crazy สวนที่ปลูกดอกไม้ป่า สำหรับให้คนนิยมมาเลือกเก็บทำช่อบูเก้เอง
ชื่อ น้ำฝน นิตยาชิตค่ะ
ฝนอยู่เบลเยี่ยมและเนเธอแลนด์มาได้ 6ปีครึ่งค่ะ ก่อนย้ายมาฝนมีร้านขายต้นไม้ที่ภูเก็ตสองร้าน และทำฟาร์มต้นไม้ตัดดอก จำพวกเฮลิโคเนีย( ปักษาสวรรค์, ก้ามปู) และรับจัดตกแต่งสวน อันนี้ทำเกือบสิบปี ก่อนย้ายมาที่นี่
ความตั้งใจแรกคือจะเปิดร้านอาหารที่นี่และปลูกผักเพื่อใช้ในร้านอาหาร, แต่ต้องยกเลิกโครงการ เพราะสามียังทำงานประจำอยู่เอเชีย สลับกับที่นี่ ที่ละ 6 เดือน ฝนต้องรับผิดชอบหน้าที่ดูแลบ้าน,สวน, และหมาอีกสี่และลูกสองคน
ถ้าทำร้านอาหารคงไม่ไหวแน่นอน ประกอบกับปีแรกทดลองปลูกผักไทยแล้วถึงรู้ว่ามันใช้เวลาการปลูกดูแลรักษานาน และถ้าจะปลูกเพื่อการค้า ทำเป็นธุรกิจต้องลงทุนในกรีนเฮาส์ ผลผลิตถึงจะได้อย่างที่ต้องการและเพียงพอต่อการขาย
ถ้าจะทำร้านต้นไม้อย่างที่เคยทำ ก็น่าจะใช้ทุนสูง และคงสู้ร้านใหญ่ไม่ได้ ด้วยความที่ทำสวนทุกวันจนเป็นกิจวัตร เลยคิดว่าจะลองปลูกดอกไม้ขายในชุมชนดู ถ้าขายไม่ได้อย่างน้อยก้อมีสวนสวยๆไว้ชมเอง และสนองความอยากทดลองปลูกดอกไม้ต่างๆที่ปลูกบ้านเราไม่ได้
ที่นี้ก็มาถึง การตัดสินใจ ว่าจะปลูกอะไร จะขายใคร เพราะที่นี่เป็นแหล่งปลูกดอกไม้ส่งขายทั่วโลก
ดอกไม้ที่เราจะขายจะสู้เขาได้ไหม เพราะฝนไม่มีโรงเรือน และตั้งใจปลูกแบบออแกนิก และทำคนเดียว คำตอบที่ได้คือ
- เริ่มขนาดเล็กไปก่อน
- ดอกไม้ที่ส่วนมากที่ขายต้องเป็นชนิดที่ไม่เหมาะแก่การขนส่งระยะไกล เพราะพวกนี้ฟาร์มใหญ่เขาไม่ปลูกขาย
- เน้นดอกไม้ตามฤดูกาล เพราะมันทนทาน สภาพแวดล้อม เราไม่ต้องลงทุนโรงเรือน และใช้สารเคมี
ตอนวางแผนคือหน้าหนาว มีเวลานอนคิด จะขายใคร ขายแบบไหน ก็หาความรู้ การปลูกดอกไม้ การจัดช่อ การห่อ ดอกไม้ ไปเรื่อยๆค่ะ ระหว่างรออากาศ ตั้งใจว่าถ้าได้ผลผลิต จะนำเสนอขายตามร้านดอกไม้ในรัศมีใกล้บ้าน ตามที่หาข้อมูลมา สักสิบร้านก้อพอ ในลักษณะฝากขาย
พอถึงสปริงลงมือปลูก ได้ผลดี ดอกไม้ ที่ปลูกเป็นพวกดอกไม้ป่า และดอกไม้ที่ฟาร์มใหญ่ส่วนมากเขาไม่ปลูกขายส่งกัน ก็จัดช่อ ตะเวนตามร้านดอกไม้ อย่างที่เล่า พอมีร้านที่ได้ส่งประจำ กลายเป็นขายดี ตัด จัดช่อ ทำส่งขายไม่ทัน ในปีแรก
ปีต่อมา เลยคิดหาวิธีที่จะทำยังไงให้มีดอกไม้พอขายตลอดหน้าใบไม้ผลิและหน้าร้อน ถ้ามัวแต่ตัด จัดและส่ง จะไม่มีเวลาดูแลสวนเลย เลยคิดว่า จะปลูกเพิ่มเติม แต่ไม่ส่งร้าน แต่จะให้ลูกค้ามาตัดเองที่สวนน่าจะดีกว่า
อันนี้เผื่อจะสงสัยนะคะ
คือฝนเรียนศิลปะมาก่อน มานี่ก็ไปเรียนเพิ่มเติม ตั้งแต่ปีแรก ก็มีเปิดนิทรรศการทุกปีตั้งแต่ปีแรกที่ย้ายมา กับกลุ่มศิลปินท้องถิ่น ก็มีคนมาเยี่ยมชมงานนี้ทุกปี ปีละ พอสมควร ซึ่งนิทรรศการนี้ เป็นช่วงดอกไม้บานพอดี ก็ขายทั้งภาพวาดและดอกไม้ไปด้วย โฆษณาไปด้วยว่า เปิดให้คนมาตัดเองนะ เป็น pluktuin. ลูกค้าก้อปากต่อปากค่ะ สวนดอกไม้ปีนี้เปิดเป็นปีที่สามค่ะ
ก็เงินค่าใช้จ่ายส่วนตัวนี่แหละค่ะ
เน้นปลูกจากเมล็ด เพราะเมล็ดเอง จะถูกกว่าซื้อต้นกล้ามาก และสามารถเลือกได้ว่าจะปลูกอะไร
การสนับสนุนจากครอบครัว คือโชคดีว่าสามีเห็นด้วยตั้งแต่เเรกว่าจะซื้อที่ทำฟาร์ม การลงทุนก้อนใหญ่คือที่ดินนี่ละ่คะ่
ส่วน น้องสาวฝนเขาย้ายมาอยู่ก่อนนานแล้ว พอฝนตัดสินใจจะจะทำสวนไม้ตัดดอก ก้อขอให้เขาไปเรียนจัดดอกไม้เพิ่มเติมเผื่อได้มาช่วยกัน ซึ่งเขาก้อได้มาช่วยทุกปี ตอนวันหยุดงานหรือตอนลูกค้าเยอะ
คือฝนทำงานนี้ ด้วย passion นะคะ
มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นงานที่ทำมาตลอดแล้วไม่เบื่อ ไม่หมดไฟ มีแต่อยากทำเพิ่ม
ส่วนเรตติ้ง ฝนว่ามันดีมากกว่าที่เคยคาดหวังไว้มากมายค่ะ